About us

กริพเดียว จบเรื่องยาง เตรียมพบกับศูนย์บริการยางรถยนต์ครบวงจร ที่นี่ เร็วๆ นี้

วิธียืดอายุยางรถยนต์

ยางรถยนต์ เมื่อถูกใช้งานก็ย่อมสึกหรอไปตามระยะทางและระยะเวลาในการใช้งาน การดูแลรักษาด้วยวิธีที่ถูกต้อง จะช่วยให้การใช้ยางรถยนต์เป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งาน           ถึงแม้ผู้ผลิตจะผลิตยางรถยนต์ออกมาให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพดีเพียงใดก็ตาม หากใช้ยางรถยนต์ไม่ถูกต้อง จะทำให้ได้รับประสิทธิภาพยางรถยนต์ไม่เต็มที่และทำให้ยางรถยนต์เสียหายก่อนกำหนด ดังนั้นยางรถยนต์จะให้ประโยชน์คุ้มค่าทุกด้านอย่างเต็มที่ขึ้นอยู่กับการใช้ยางรถยนต์ที่ถูกต้อง สำหรับการใช้ยางรถยนต์ที่ถูกต้องขอแนะนำดังนี้ เติมลมยางให้อยู่ในอัตราเหมาะสม           การเติมลมยางรถยนต์ให้ได้ตามอัตราที่เขียนในคู่มือรถยนต์ได้กำหนดเป็นอัตราที่ดีที่สุด เหมาะสมสำหรับรถแต่ละชนิด แต่หากคุณไม่ได้ใช้ยางรถยนต์ขนาดเดียวกันกับยางที่ติดรถมา ควรขอคำแนะนำเกี่ยวกับอัตราสูบลมยางที่เหมาะสมจากผู้ผลิตยางหรือร้านจำหน่ายยางรถยนต์ที่ได้มาตราฐาน ในส่วนของ ยางอะไหล่ คุณควรเติมลมไว้ให้มากกว่ามาตราฐาน 3 – 4 ปอนด์ และเมื่อนำมาใช้งานก็ปล่อยให้เป็นความดันปรกติ ควรตรวจเช็คลมยางสม่ำเสมอ           คุณควรตรวจเช็คลมยางประมาณอาทิตย์ละครั้ง หรือทุกครั้งก่อนเดินทางในขณะที่ยางรถยนต์ยังเย็นอยู่ เพราะตรวจเมื่อใช้รถไปแล้วหรือตัวยางรถมีความร้อน ค่าความดันภายในยางจะสูงขึ้นและไม่ได้เป็นค่าที่ใช้วัดตามมาตราฐาน ไม่ควรใช้วิธีสังเกตด้วยตาว่า ลมยางรถยนต์อ่อนเกินไปหรือยัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากยางที่คุณใช้เป็นยางเรเดียล ควรตรวจเช็คลมโดยให้เกจ์วัดลมที่ได้มาตราฐาน สลับยางรถยนต์ เพื่อให้ยางรถยนต์ทุกเส้นมีการสึกที่เท่ากัน ดังนั้นท่านควรศึกษาคู่มือการใช้รถเกี่ยวกับคำแนะนำในการสลับยางรถยนต์ ควรจะสลับยางรถยนต์ในทันทีที่คุณใช้รถครบ 10,000 กิโลเมตรแรก ข้อควรระวัง ลมยางล้อหน้าและล้อหลังต่างกัน ดังนั้นเมื่อสลับยางรถยนต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านก็ต้องปรับระดับความดันลมของยางรถยนต์ล้อหน้า และล้อหลังให้ถูกต้อง ต้องมีการถ่วงล้อ หากเกิดการกระจายน้ำหนักไม่ถูกต้องของยางรถยนต์ จะก่อให้เกิดอาการสั่นสะท้านขึ้นขณะที่รถวิ่ง อันจะมีผลเสียต่ออายุการใช้งานของยางรถยนต์ ระบบช่วงล่างของรถ ตลอดจนความสะดวกสบายในการขับขี่ ปรับตั้งศูนย์ล้อ           รถที่มีปัญหาศูนย์ล้อที่ไม่ตรง เช็กง่าย […]

พวงมาลัยหนัก เกิดขึ้นได้อย่างไร…?

สิ่งแรกที่เช็กได้เลยก็คือ ลมยางรถอาจจะไม่เท่ากัน หากเรามั่นใจว่าเติมลมมาปกติ สาเหตุอาจจะเกิดจากการรั่วก็ได้ 1. เฟืองบังคับเลี้ยวฝืด เนื่องจากขาดสารหล่อลื่น ซึ่งเจ้าเฟืองนี้จำเป็นจะต้องมีสารหล่อลื่น หากตัวเฟืองนั้นแห้ง ก็จะทำให้พวงมาลัยรถนั้นหมุนฝืดขึ้นได้ 2. ข้อต่อที่เกี่ยวกับระบบบังคับเลี้ยวขาดสารหล่อลื่น อาจจะคล้ายกับบริเวณของเฟืองทดแรง แต่ข้อต่อพวกนี้สำคัญกว่า เพราะถ้าจุดข้อต่อแห้ง นอกจากจะทำให้พวงมาลัยหนักมือขึ้นแล้ว บางทีอาจจะเกิดการล้อล๊อกระหว่างเลี้ยวได้ 3. องศาหรือศูนย์ล้อไม่ตรง สำหรับรถแต่งที่ตั้งใจให้มุมแคมเบอร์ และแองเกอร์ต่างไปตามการใช้งาน อาจจะไม่ต้องกังวลมากนัก แต่สำหรับรถยนต์ทั่วไปหากศูนย์ไม่ตรง ก็เท่ากับรถวิ่งไม่ตรงทาง ทำให้ต้องรั้งพวงมาลัยเอาไว้ตลอด ส่งผลให้เมื่อยล้าจากการขับขี่ และรถยังถูกใช้งานหนักในส่วนบังคับเลี้ยวอีกด้วย 4. ยางรถยนต์ขนาดใหญ่กว่าเดิม สำหรับใครที่เปลี่ยนใส่ล้อแม็กซ์หน้ากว้างหรือใหญ่กว่าเดิม หรือใส่ยางที่หน้ากว้างกว่าเดิมแล้วละก็ ปัญหาพวงมาลัยหนักอาจเกิดจากสาเหตุนี้เช่นกัน เพราะเมื่อหน้ายางสัมผัสกับพื้นถนนมาก อาจทำให้เราต้องออกแรงบังคับพวงมาลัยมากขึ้นไปด้วย 5. อะไหล่บางส่วนชำรุด อาจมีในทุกส่วนของระบบบังคับเลี้ยว เพราะมีข้อต่อเยอะ หากตรวจพบควรรีบเปลี่ยนใหม่ทันที 6. อีกจุดหนึ่งที่สังเกตได้ไม่ยากคือ “น้ำมันพาวเวอร์” ที่อยู่ในห้องเครื่อง ควรดูแลรักษาให้อยู่ในเกณฑ์ปกติของกระปุก หากต่ำกว่าเกณฑ์หรือแห้ง อาจมีปัญหาส่วนอื่นตามมาอีก

5 สิ่งที่ต้องทำเมื่อไปอู่รถยนต์!!!

     เวลาจะนำรถเข้าอู่รถยนต์แต่ละทีนั้น หลายๆ คนคงเป็นกังวลอย่างมาก ทั้งเรื่องกลัวโดนฟันราคา กลัวโดนช่างหลอก บ้างก็ไม่อยากเสียเวลา  GRIP จึงนำ 5 สิ่งต้องทำ เวลาไปอู่รถยนต์ มากฝาก 1. ดูอาการของรถให้แน่ใจก่อนว่ามันเสียตรงไหน จุดไหน เปลี่ยนยากไหม อะไหล่เท่าไหร่ อย่างน้อยคุณก็ยังไปแบบคนรู้อะไรบ้าง 2. หาอู่รถยนต์ที่เชื่อใจได้ ลองสอบถามข้อมูลจากผู้เคยใช้บริการ ถ้าเชี่ยวชาญมีมาตรฐาน ก็นัดไปเลย 3. ของมีค่าอย่าทิ้งไว้ เวลาหายไปอาจจะไม่มีใครรับผิดชอบให้ อีก 1 อย่างคือ น้ำมัน อย่าเติมเยอะ (บางอู่แอบดูด) แต่ก็อย่าแห้งไป เดี๋ยวช่างเค้าจะลองรถไม่ได้นะครับ 4. ขอให้อู่ประเมินราคาให้ก่อนตกลงทำทุกครั้ง คุณจะได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นครับ 5. สุดท้าย เมื่อซ่อมเสร็จ อะไหล่เก่าที่ถูกเปลี่ยน นำกลับมาด้วยเลยครับ จะได้รู้ว่าเปลี่ยนแล้วจริงๆ บางอย่างเอามาขายได้ด้วยนะ เอาเป็นว่า เตรียมตัวแค่นี้ก็สามารถนำรถไปเข้าอู่ได้อย่างสะดวก และดำเนินการได้อย่างสบายใจ ทั้งตัวคุณเองและอู่บริการ  ทางที่ดีควรหาสถานที่บริการ ที่มั่นใจได้ และแนะนำให้มาที่ “GRIP”  เพราะเรามีช่างผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลรถของคุณเสมอครับ  

ขับรถอย่างไรให้ประหยัดน้ำมัน?

           ในช่วงเวลานี้ที่ข้าวของทุกอย่างแพงไปหมด ตั้งแต่ข้าวแกงยันอาหารตามสั่ง รวมทั้งราคาน้ำมันที่ไม่มีวี่แววว่าจะลดลง ทำให้ทางค่ายรถยนต์ต่างๆ หันออกมาผลิตรถยนต์ประหยัดน้ำมันกันอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามถึงจะขับรถประหยัดน้ำมันกัน แต่ถ้าหากไม่รู้วิธีขับรถยนต์ที่ถูกต้องก็จะสิ้นเปลืองค่าน้ำมันเชื้อเพลิงเทียบเท่ากับรถธรรมดาทั่วไปได้เหมือนกันค่ะ ซึ่งการขับรถที่ดี นอกจากมีสติและถูกกฎจราจรแล้ว ในยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้ ยังต้องรู้จักวิธีขับรถยนต์ให้ประหยัดน้ำมัน เพราะนั่นหมายถึงการเซฟเงินในกระเป๋าได้แบบสุด ๆ ซึ่งวิธีที่เรานำมาฝาก รับรองว่าไม่ยากเกินกว่าที่จะทำตามกันได้แน่นอนคะและตอนนี้เรามาดูหลักการขับรถให้ประหยัดน้ำมันกันดีกว่าค่ะ                                     การสตาร์ทเครื่องยนต์ เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้ว ไม่จำเป็นต้องอุ่นเครื่องยนต์ขณะที่รถจอดอยู่กับที่ เพียงขับเคลื่อนรถเบาๆ 1-2 กิโลเมตรเครื่องยนต์จะอุ่นเองไม่จำเป็นต้องอุ่นเครื่องยนต์แล้วจอดอยู่กับที่ เพราะการติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้ 2 นาที สิ้นเปลืองน้ำมัน 40 ซีซี. และหลังไฟเตือนต่าง ๆ บนหน้าปัดดับลงแล้ว คุณก็สามารถเคลื่อนรถออกได้อย่างช้าๆแล้วค่อยๆเร่งเครื่องยนต์ทีละน้อยโดยไม่ควรใช้รอบสูงตรงนี้ทำให้เครื่องยนต์อุ่นตัวได้เร็วขึ้น           […]