Date: February 25, 2016
Author: Grip Thailand
เหตุที่ นิตโตะซัง บรรยายเรื่องนี้อย่างละเอียดในวันก่อน ก็เพราะต้องการให้พวกเรามั่นใจว่า ยางของเราเกาะถนนได้ดีกว่าที่พวกเราคาดหวังหลายเท่าตัวครับ อย่าไปกลัวว่าถ้าขับเร็วกว่านี้ แล้วรถของเราจะไถล เสียการทรงตัวหรือ “แหกโค้ง” ถ้าเปรียบเทียบเป็นร้อยละ โดยให้แรงหนีจุดศูนย์กลางที่รถของเราต้านทานได้เป็น 100 % แรงที่เกิดขึ้นขณะที่พวกเราขับกันในโค้งนั้น ยังไม่ถึง 5 % เลยครับ
คราวนี้ก็อาจมีคนอยากแย้งว่า แล้วมันเสียหายตรงไหน ถ้าเข้าโค้งกันช้าขนาดนี้ คำตอบคือความสูญเสียนั้น อยู่ในระดับสูงครับ เพราะทำให้การจราจรติดขัดโดยไม่จำเป็น ถนนที่ลงทุนสร้างกันเป็นหมื่นล้านบาท เพื่อให้การจราจรคล่องตัว ลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ต้องถูกลดประสิทธิภาพลงไป เพราะพวกเราลดความเร็วจนต่ำเกินไป ทั้งก่อนเข้าโค้ง และตอนขับในโค้งครับ ความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงก็เพิ่มขึ้นด้วย เพราะรถเป็นแสนคันเบรกลดความเร็วกันเกินจำเป็น แล้วก็ต้องสูญเชื้อเพลิงตอนเร่งเพิ่มความเร็วเมื่อออกจากโค้ง
กลับมาว่ากันต่อ แรงเหวี่ยงในโค้ง หรือแรงหนีจุดศูนย์กลางนี้ แปรตามมวล หรือ “น้ำหนัก” ของรถครับ และแปรตามความเร็วของรถ แต่ยกกำลังสองด้วยครับ คือ เอาค่าความเร็วคูณด้วยตัวมันเอง เพราะฉะนั้นเราจะสังเกตได้ว่าแรงเหวี่ยงในโค้งนี้ มันไม่เพิ่มในสัดส่วนเดียวกับความเร็วที่เราเพิ่ม แต่มากกว่านั้น เช่น เพิ่มความเร็วขึ้น 20 % แรงเหวี่ยงจะเพิ่มขึ้น 44 % (1.2×1.2 = 1.44) นอกจากนี้ยังแปรผกผันกับรัศมีของวงกลมที่รถเคลื่อนที่ยิ่งรัศมีน้อย (วงเล็ก) แรงหนีจุดศูนย์กลาง หรือแรงเหวี่ยงจะยิ่งมากขึ้น ทดลองง่ายๆ ครับ โดยขับด้วยความเร็วคงที่หาลานกว้างๆ ลองหมุนพวกมาลัยให้วงเลี้ยวแคบลง แรงเหวี่ยงจะเพิ่มขึ้นทันที
แรงเหวี่ยงไม่ได้เกิดขึ้นที่ตัวรถเท่านั้นนะครับ แต่กับทุกส่วนของรถรวมทั้งตัวเรา และสัมภาระในรถด้วย
ถ้าหน้ายางรับแรงเหวี่ยงเท่าไหร่ด้วยแรงเกาะยึด หรือแรงเสียดทาน สัมภาระที่อยู่บนเบาะนั่งก็ถูกยึดให้อยู่นิ่งด้วยแรงเดียวกัน ขนาดเบาะเรียบลื่นพอสมควร ยังไม่ลื่นไถลเลยครับ เวลาเราเข้าโค้ง เพราะฉะนั้นเก็บสัมภาระที่จะลื่นไถลได้ แล้วเข้าโค้งกันให้เร็วกว่าเดิมมากๆ การจราจรจะคล่องตัวกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มากมายเลยครับ
ไม่ได้ชวนให้ขับซิ่งเกินควรนะครับ นิตโตะซัง แค่จะบอกว่าเทคโนโลยียางรถยนต์ปัจจุบันทำให้รถเราเค้าโค้งได้เร็วและเกาะถนนได้มากกว่าที่คิดครับ