Date: February 25, 2016
Author: Grip Thailand
นิตโตะซังกำลังจะบอกว่าที่เห็นโฆษณากันปาวๆ ว่าแค่เปลี่ยนยางรุ่นนั้นรุ่นนี้ก็ช่วยทำให้รถประหยัดน้ำมันได้ ไม่ใช่เรื่องโม้นะครับ แต่เป็นเรื่องจริงที่ถูกเนรมิตขึ้นโดยเทคโนโลยีทันสมัย
หลักการง่ายๆ ก็คือ ทำอย่างไรให้เกิดยางเกิดแรงต้านทานการกลิ้งน้อยที่สุด
เอาว่าถ้าเป็นยางขนาดเดียวกันแต่เป็นยางประหยัดน้ำมันกับยางปกติ พอเปรียบเทียบกันแล้วจะประหยัดกว่า (นิดนึง) ด้วยเหตุนี้ครับ
แรงต้านที่เกิดจากความร้อนของยาง
เวลาที่ยางกลิ้งไปบนผิวถนน แรงต้านนี้จะมาจากการต้านการงอของแก้มยาง กับการยุบตัวของเนื้อยางบริเวณหน้ายางที่ถูกอัดกับผิวถนนด้วยน้ำหนักของรถ เนื้อยางเป็นตอนหมุนนี้จะมีลักษณะเป็น “สปริง” ยืดหยุ่นได้ กระเด้งได้ ถูกบีบหรืองอด้วยแรงเท่าใดตอนคลายตัว ก็ด้วยแรงที่เท่ากันเมื่อถูกงอ และกด ฉะนั้นตรงส่วนที่เริ่มสัมผัสถนนขณะกำลังกลิ้งสร้างแรงต้านไว้เท่าใด ตอนคลายตัวทางด้านหลังที่กำลังพ้นผิวถนน ก็น่าจะดีดตัวด้วยแรงเท่ากัน สาเหตุอยู่ที่ธรรมชาติของยางครับ
ยางไม่เป็นสปริงแบบสมบูรณ์เหมือนสปริงเหล็กหรอกครับ แต่ยางจะพองตัวหลังถูกอัดหรือยืดตัวหลังถูกงอ ด้วยแรงที่น้อยกว่าเสมอ ส่วนต่างนี้หายไปเพราะการเสียดสีในเนื้อยาง และกลายเป็น “ความร้อน” จนเกิดแรงต้านทานการกลิ้งขึ้นมา แรงต้านในการกลิ้งของล้อยางที่รถของเรา มีชื่อเป็นทางการว่า (Rolling Resistance) ครับ
ขณะที่เราขับรถ จะต้องใช้พลังงานส่วนหนึ่งของเครื่องยนต์ไป “สู้” กับแรงต้านทานกลิ้งนี้ ซึ่งก็คือการใช้เชื้อเพลิงส่วนหนึ่งนั่นเอง
รถยนต์ยุคนี้เลิกใช้ยางแบบมียางในเพราะยางจะ “เย็น” กว่า ซึ่งแรงต้านทานการกลิ้งก็จะน้อยกว่ายางที่ “ร้อน” กว่า ส่งผลแรงต้านทานการกลิ้งน้อยกว่า เลยช่วยให้ประหยัดได้ และจากเหตุผลเดียวกันก็เป็นคำตอบของคำแนะนำที่ว่า ทำไมเราต้องเติมลมเพิ่มขึ้นเวลาวิ่งทางไกล หรือวิ่งเร็วๆ วิ่งนานๆ …ก็เพราะยางมันจะ “ร้อน” น้อยกว่าไงละครับ
ฉายภาพกว้างๆ ไว้ก่อน แล้วมาว่ากันต่ออีกทีครับ