Date: February 25, 2016
Author: Grip Thailand
อย่างที่ นิตโตะซัง เคยบอกครับว่ายางรถยนต์ไม่ใช่เป็นแค่เบาะรองล้อ แต่มีหน้าที่ทำให้รถยึดเกาะถนน ให้แรงเสียดทางยามที่เราจะต้องหักล้อหรือเลี้ยว ยางรถยนต์ทั่วไปมีลวดลายดอกยาง (Tire threads) ประกอบด้วยรอยบากเป็นช่องแคบๆ (Sipes) ลวดลายแตกต่างกันออกไปตามจุดเน้นของการออกแบบ เช่น อยากให้เงียบมากแค่ไหน หรืออยากให้ช่วยตะกุยได้มากแค่ไหน แต่วัตถุประสงค์หลักอย่างไรก็คือการรีดน้ำออกจากหน้ายาง
ถ้าเราดูที่หน้ายางจะเห็นว่ามีส่วนที่เป็นก้อนยางกับส่วนที่เป็นร่อง ส่วนที่เป็นก้อนยางนี้ เรียกเป็นทางการว่าส่วน โพสสิทีฟ (Positive) หรือบวก ส่วนที่เป็นร่องคือส่วน เนกาทีฟ (Negative) หรือลบ พิจารณาอย่างหยาบๆ ได้ว่ายางที่รีดน้ำได้ดีจะมีส่วนร่องนี้ใหญ่ แต่ถ้าส่วนที่เป็นก้อนยางน้อย ยางก็จะสึกเร็ว และหยุ่นขณะเบรค เร่ง หรือเข้าโค้ง
เมื่อเราขับรถบนถนนที่เปียกแฉะ ร่องยางต้องรีดน้ำออกมากให้ได้กว่า 10-15 ลิตร/วินาที โดยเฉลี่ย เพื่อให้หน้ายางสามารถสัมผัสพื้นถนนได้รถเกาะถนนได้ดีพอ บางคนถามว่า ทำไมรถแข่งต้องใช้ยางแบบเกลี้ยงไม่มีร่องดอกยาง (Slick) นั่นเพราะถ้าเป็นถนนที่แห้งสนิท ดอกยางก็ไม่มีความจำเป็น ยางเกลี้ยงจะทำให้หน้ายางสัมผัสกับถนนมากที่สุด รถจึงเกาะถนนกว่าถ้าใช้ยางแบบที่มีร่องดอกยาง แต่เมื่อพื้นถนนเปียก ก็จะถูกสลับมาเป็นยางแบบที่มีร่องรีดน้ำอยู่ด้วยครับ
กลับมาที่รถยนต์นั่ง เราใช้ยางเกลี้ยงไม่ได้ เพราะต้องใช้งานในหลายสภาวะ ถ้าใช้ยางเกลี้ยงในเวลามีฝน จะไม่มีร่องดอกยางไว้คอยรีดน้ำ น้ำบนพื้นถนนจะรวมตัวเป็นผืนที่หน้าล้อและใต้ล้อเป็นเบาะรองล้อเอาไว้ (Hydroplaning) จนเหมือนกับว่ารถลอยอยู่เหนือผืนน้ำ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ขับขี่ย่อมบังคับรถไม่อยู่ เกิดกรณีรถแฉลบขึ้นแน่นอน
รถส่วนใหญ่ต้องปฏิบัติงานในทุกสภาพอากาศ ยางเลยต้องมีดอก ต่างจากรถแข่งซึ่งออกวิ่งเพียงปีละไม่กี่ครั้ง ถ้าหากทางวิ่งแห้ง รถแข่งจะใช้ยางเกลี้ยงเพื่อให้เกาะถนนได้ดีที่สุด ล้อรถแข่งมีหน้ายางกว้างเป็นพิเศษทำให้เกาะถนนได้ดีกว่ารถธรรมดาทั่วไป แต่ในเวลาที่มีฝนตก รถแข่งก็ต้องเปลี่ยนจากยางเกลี้ยงเป็นยางที่มีร่องดอกยางอยู่ดีครับ
ฝนยังตกอยู่เรื่อยๆ การรีดน้ำออกจากหน้ายางยังไม่จบ ไว้มาว่ากันต่อครับ ^^